Q&A สายด่วนโควิด คิดออกกับจุฬาภรณ์

สายด่วนโควิด

คิดออกกับจุฬาภรณ์

ค้นหาคำถามที่เกี่ยวข้อง

กรุณาพิมพ์ข้อความที่ต้องการค้นหา


การตรวจคัดกรองโควิด

กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง

คือ ผู้สัมผัสใกล้ชิดในสถานที่และเวลาเดียวกันกับผู้ป่วยโดยไม่สวมหน้ากาก

  • อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วย
  • เรียน/ทำงาน/ประชุมห้องเดียวกันที่เป็นห้องปรับอากาศกับผู้ป่วย เกิน 30 นาที
  • อยู่ในสถานที่แออัดร่วมกับผู้ป่วย ในระยะ 1 เมตร เกิน 15 นาที
  • พูดคุยกับผู้ป่วย ในระยะ 1 เมตรเกิน 5 นาที
  • ถูกผู้ป่วยไอจามรด

** แนะนำให้ผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงสูงที่ไม่มีอาการควรเข้ารับการตรวจโควิดในวันที่ 5 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย และแนะนำตรวจซ้ำอีกครั้ง 7 วันหลังจากวันที่ตรวจครั้งแรก หรือวันที่ 13 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย (แล้วแต่ว่าวันไหนถึงกำหนดก่อน)

กลุ่มผู้มีอาการเข้าข่ายคัดกรอง

  • มีไข้สูง
  • ไอ
  • น้ำมูกไหล
  • เจ็บคอ
  • หายใจเร็ว
  • หายใจเหนื่อย
  • หายใจลำบาก
  • ลิ้นไม่รับรส
  • จมูกไม่ได้กลิ่น
  • ตาแดง
  • ท้องเสีย
  • ผื่น อย่างใดอย่างหนึ่ง ร่วมกับมีประวัติเสี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด

** แนะนำควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองเชื้อทันที

ผู้มีความเสี่ยงต่ำ

คือ ผู้ที่สัมผัสกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยไม่ได้พบกับผู้ติดเชื้อโดยตรง

**แนะนำกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน / หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายติดเชื้อ ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ

ผู้ไม่มีความเสี่ยง

คือ ผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เช่น ผู้ที่อยู่ในโรงเรียนหรือที่ทำงานเดียวกับผู้ติดเชื้อ แต่ไม่มีกิจกรรมหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ

**ไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องตรวจหาเชื้อ ดูแลตนเองเพื่อป้องกัน โดยสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ

เป็นผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงสูง เคยตรวจไม่พบเชื้อในครั้งแรกควรตรวจซ้ำไหม

หากตรวจไม่พบเชื้อ ให้กักตัวให้ครบ 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้ไปสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อCOVID-19 เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อสู่คนอื่นโดยไม่รู้ตัว และตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข กรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ไม่มีอาการ แนะนำตรวจซ้ำ 7 วัน หลังจากวันที่ตรวจครั้งแรก หรือวันที่ 13 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย (แล้วแต่ว่าวันไหนถึงกำหนดก่อน)

กรณีตรวจซ้ำครั้งที่ 2 ในผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงสูง ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข สามารถใช้สิทธิตรวจฟรีได้

ตรวจพบเชื้อแล้วแต่ไม่มีอาการ

ไม่ต้องไปตรวจหาเชื้อแล้ว รอเข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลสนามหรือฮอสปิเทล (Hospitel) โดยระหว่างที่รอ ต้องแยกตัวเองออกจากผู้อื่นโดยเคร่งครัด

ตรวจโควิดฟรีได้หรือไม่สถานพยาบาลที่สามารถตรวจหาเชื้อ COVID-19 ได้มีที่ไหนบ้าง

หากเข้าข่ายกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง กล่าวคือ เดินทางไปพื้นที่เสี่ยง สัมผัสกับผู้ติดเชื้อและสงสัยว่าจะติดเชื้อ โดยไม่มีอาการ หรือมีอาการผิดปกติที่เข้าข่ายการติดเชื้อโควิด สามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีที่โรงพยาบาลของรัฐและเอกชนทุกแห่ง สอบถามเพิ่มเติมติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ถ้าเข้ามาตรวจ COVID ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ต้องทำอย่างไร

ท่านสามารถคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงหรือไม่ และนัดหมายเลือกวัน-เวลาในระบบลงทะเบียนผ่านทางไลน์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ แอดไลน์ค้นหาคำว่า @chulabhornhospital เลือกเมนู บริการตรวจโควิด ARI CLINIC คลิกเลือกปุ่ม “ลงทะเบียนตรวจคัดกรอง”เพื่อลงทะเบียนออนไลน์ ทำประวัติผู้ป่วย / คัดกรองความเสี่ยง และเลือกวัน-เวลาที่ต้องการเข้ารับบริการได้เลยค่ะ/ครับ หรือเข้าไปที่หน้าเว็บลงทะเบียนได้ที่ http://ari.cra.ac.th

  • เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น.
  • สถานที่ : ARI Clinic อาคารสำเร็จรูป SCG ด้านหน้าอาคารศูนย์การแพทย์จุฬาภรณ์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

วิธีการลงทะเบียนตรวจโควิดออนไลน์ที่ ARI Clinic โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

  • เข้าไปที่ http://ari.cra.ac.th
  • กดเลือก “ลงทะเบียนตรวจ COVID-19”
  • ระบุเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เข้ารับการตรวจ
    • 3.1 กรณีไม่เคยเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์มาก่อน จะต้องกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ก่อน จากนั้นทำแบบคัดกรองระดับความเสี่ยง
    • 3.2 กรณีมีประวัติกับโรงพยาบาลแล้ว จะปรากฏข้อมูลของท่านในระบบ ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์อีกครั้ง พร้อมทำแบบคัดกรองระดับความเสี่ยง
  • ลงข้อมูลแบบฟอร์มการสอบสวนโรคตามข้อกำหนดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ลงข้อมูลในหนังสือแสดงความยินยอม (consent form) เพื่อยืนยันการเข้ารับการตรวจและการจัดส่งผลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
  • เลือกวัน-เวลา ที่ต้องการเข้ารับบริการ
  • เสร็จสิ้นการลงทะเบียน ขอให้ท่านกรุณามาก่อนเวลานัดหมาย 15 นาที เพื่อลดความแออัดและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
หมายเหตุ: ท่านสามารถตรวจสอบสถานะลงทะเบียนของท่านบน เมนู “ตรวจสอบผลการลงทะเบียน” โดยใส่เลขที่บัตรประจำตัวประชาชนของท่านเพื่อตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน กรณีท่านดำเนินการลงทะเบียนไม่จบครบทุกขั้นตอนสามารถกลับไปทำรายการต่อได้จนจบขั้นตอน

ค่าบริการตรวจโควิด รพ.จุฬาภรณ์

ค่าตรวจโควิด-19 (RT-PCR) ด้วยการป้ายจมูกและคอ (Swab) ราคา 2,500 บาท
*อัตราดังกล่าวยังไม่รวมค่าบริการ รพ.100 บาท รวมถึงค่ายาและค่าเอกซเรย์กรณีมีวินิจฉัยเพิ่มเติม
หมายเหตุ: ผู้รับบริการที่เป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง ร่วมกับมีประวัติและอาการเข้าข่ายตามเกณฑ์ของกรมควบคุมโรคสามารถใช้สิทธิ์ตรวจเบิกจ่ายส่วนกลาง (สิทธิ์ตรวจฟรีของรัฐ)

ตามผลการตรวจโควิดของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์

โรงพยาบาลจุฬาภรณ์จะโทรศัพท์แจ้งผลแก่ผู้รับการตรวจ กรณีพบผลติดเชื้อเท่านั้น ภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่ผลตรวจไม่พบเชื้อ โรงพยาบาลจะแจ้งผลทาง SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ท่านแจ้งไว้ในระบบ
ท่านสามารถดาวน์โหลดผลการตรวจโควิดของท่าน เพียงกรอกเลขที่บัตรประชาชน เลขที่ประจำตัวโรงพยาบาล HN และวันที่เข้ารับการตรวจได้ทาง https://covid19.cra.ac.th

ซื้อชุดตรวจRapid test COVID-19 มาตรวจเองได้หรือไม่

ไม่ควร เพราะผลตรวจที่น่าเชื่อถือ ต้องทำในจุดบริการที่จัดไว้ และส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรอง

ระยะเวลาที่เหมาะสมในการไปตรวจหาเชื้อ และตรวจซ้ำควรเป็นช่วงเวลาแบบใด

หากเป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงมีอาการเข้าข่ายเมื่อไร แนะนำไปตรวจได้เลย
  • แนะนำกลุ่มเสี่ยงสูงและไม่มีอาการควรเข้ารับการตรวจโควิดในวันที่ 5 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย 
  • หากเป็นผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงสูง เคยตรวจไม่พบเชื้อในครั้งแรก ให้กักตัวให้ครบ 14 วัน เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อสู่คนอื่นโดยไม่รู้ตัว และแนะนำตรวจซ้ำอีกครั้ง 7 วันหลังจากวันที่ตรวจครั้งแรก หรือวันที่ 13 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย (แล้วแต่ว่าวันไหนถึงกำหนดก่อน)
  • หากตรวจพบเชื้อแล้วแต่ไม่มีอาการ ไม่ต้องไปตรวจหาเชื้อแล้ว รอเข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลสนามหรือฮอสปิเทล (Hospitel) โดยระหว่างที่รอ ต้องแยกตัวเองออกจากผู้อื่นโดยเคร่งครัด

การตรวจ IgM IgG ควรแนะนำอย่างไรในกรณีถ้าตรวจแล้วผลออกมาเป็น positive /Negative ควรทำอย่างไร แนะนำอย่างไรว่าควรตรวจหรือไม่

การตรวจแอนติบอดี้ที่เป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองที่ร่างกายมีเชื้อโรคและพยายามทำลายเชื้อโรค มันต้องมีเชื้อโรคในระยะหนึ่ง ร่างกายจะสร้างสารแอนติบอดี้นี้ขึ้นมาโดยใช้เวลาสักระยะกว่าจะตรวจเจอได้กินเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เจอหลังจากที่ตรวจเจอเชื้อ ถ้าตรวจแอนติบอดี้แล้วไม่เจอ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ติดเชื้อ 
ข้อแนะนำ ถ้าตรวจเพราะสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อหรือไม่ มาตรฐานการตรวจเชื้อในปัจจุบันให้ใช้การตรวจหาเชื้อโดยการ Swap โพรงจมูก
 

คำแนะนำสำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงที่กำลังรอผลตรวจ

คำแนะนำวิธีการกักตัวสำหรับผู้ที่รอผลตรวจที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง

หากท่านเป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง คือ ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดในสถานที่และเวลาเดียวกันกับผู้ที่ยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19
ระหว่างรอผลการตรวจ ต้องกักตัวอยู่บ้านตามวิธีการที่ถูกต้อง ดังนี้
 
 การแยกตนเองออกจากบุคคลในครอบครัว
  • อยู่ในห้องที่แยกออกจากผู้อื่น ไม่ใช้พื้นที่ส่วนรวมร่วมกับผู้อื่น เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องครัว
  • ไม่อยู่ใกล้คนอื่น ต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร และสวมหน้ากากที่กระชับกับใบหน้าตลอดเวลา
  • ไม่รับประทานอาหารและสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ ร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่ใช้ห้องน้ำร่วมกัน หากจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่น ให้ปิดฝาชักโครกก่อนกดชำระทุกครั้ง
 
การดูแลสุขอนามัยส่วนตัว
หากไอหรือจาม ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หรือหากขณะนั้นไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ให้ใช้ต้นแขนด้านในปิดปากและจมูกให้มิดชิด และต้องล้างมือทุกครั้งหลังไอจาม
 
การทำความสะอาดที่พัก
  • ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีสารคลอรีนเป็นส่วนประกอบ ทำความสะอาดสิ่งของ ห้องต่างๆ และทำความสะอาดห้องน้ำทุกวัน สำหรับพื้นผิวที่ทนสารทำความสะอาดที่ผสมคลอรีนไม่ได้ ให้ใช้น้ำสบู่ก็เพียงพอ
  • ล้างมือทั้งก่อนและหลังการทำความสะอาดสิ่งต่างๆ
  • ต้องสวมถุงมือทุกครั้งระหว่างการทำความสะอาด และให้ทิ้งลงถังขยะปิดมิดชิดที่ระบุว่าเป็นขยะติดเชื้อ ห้ามใช้ถุงมือซ้ำโดยเด็ดขาด
 

คำแนะนำในการตรวจซ้ำ

หากท่านคือกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง และตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ แนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้ง 7 วันหลังจากวันที่ตรวจครั้งแรก หรือวันที่ 13 นับจากวันที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยวันสุดท้าย (แล้วแต่ว่าวันไหนถึงกำหนดก่อน)
 

คำแนะนำสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด

ขั้นตอนการรอเข้ารับการรักษา

ผู้ป่วยที่มีผลยืนยันการติดเชื้อ “เป็นบวก” ทางโรงพยาบาล หรือหน่วยงานสาธารณสุขจะติดต่อมายังผู้ป่วยเองเมื่อจัดหาเตียงได้แล้ว หากผู้ป่วยรอกักตัวอยู่ที่บ้านแล้วเป็นเวลา 1 วัน และไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ให้ติดต่อที่สายด่วน 1668, 1669, 1330 หรือแอดไลน์ @sabaideebot (สบายดีบอต) พร้อมกรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบถ้วน ได้แก่
  • ชื่อ นามสกุล
  • ผลตรวจแล็บ (ที่มีผลยืนยันการติดเชื้อ “เป็นบวก”)
  • เลขบัตรประจำตัวประชาชน
  • เบอร์โทรศัพท์
  • ที่อยู่
และรอการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่
 
กรมการแพทย์ ได้มีเกณฑ์การแบ่งตามความรุนแรงของผู้ติดเชื้อออกเป็น 3 สี คือ
  • สถานะสีเขียว ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย เบื้องต้นจะประสานให้รับไว้ในโรงพยาบาลสนาม หรือเข้ารักษาในฮอสปิเทล (Hospitel)
  • สถานะสีเหลือง-สีแดง จะรับไว้ในโรงพยาบาลที่มีการจัดระบบการรับผู้ป่วยเวียนกัน ระหว่างโรงพยาบาลในสังกัด กทม. สังกัด โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย/โรงเรียนแพทย์ สังกัดกรมการแพทย์ และ โรงพยาบาลเอกชน

พบผลตรวจว่าติดเชื้อ COVID สามารถไปรักษาที่ รพ.จุฬาภรณ์ได้หรือไม่

เบื้องต้นท่านต้องติดต่อไปยังสถานพยาบาลที่เข้ารับการตรวจก่อน กรณีรอกักตัวอยู่ที่บ้านแล้วเป็นเวลา 1 วัน และไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ให้ติดต่อที่สายด่วนโทร 1668, 1669, 1330 
กรณีท่านเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ หากตรวจพบผลติดเชื้อ เมื่อทางรพ.ได้ประวัติเพิ่มเติมของผู้ป่วยแล้วจะประสานส่งข้อมูลเข้าส่วนกลางตามกระบวนการของทางกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการจัดหาสถานที่สำหรับให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการกักตัวรักษาต่อไป
ทั้งนี้ กรมการแพทย์ ได้มีเกณฑ์การแบ่งตามความรุนแรงของผู้ติดเชื้อออกเป็น 3 สี คือ
  • สถานะสีเขียว ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย เบื้องต้นจะประสานให้รับไว้ในโรงพยาบาลสนาม หรือเข้ารักษาในฮอสปิเทล (Hospitel)
  • สถานะสีเหลือง-สีแดง จะรับไว้ในโรงพยบาลที่มีเวียนกันทั้งในสังกัด กทม. สังกัด โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย/โรงเรียนแพทย์ สังกัดกรมการแพทย์ และ โรงพยาบาลเอกชน

โรงพยาบาลสนามในกรุงเทพฯ ต้องการจองเตียงเข้ารับการรักษาโรคโควิด

สามารถสอบถามข้อมูล เช็กโรงพยาบาล / หาเตียง ได้ที่ 
  • 1668 กรมการแพทย์ 08.00-22.00 น. ทุกวัน
  • 1330 สปสช. 24 ชม.
  • 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินฯ 24 ชม. (จัดหาเตียงใน กทม.)

ติดโควิดไม่มีอาการ อยู่บ้านดูแลตนเองได้ไหม

เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด ควรได้รับการกักตัวเพื่อดูแลรักษา ในสถานที่ที่ภาครัฐจัดให้ตามความรุนแรงของอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน เว้นแต่หน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถจัดหาสถานที่ให้ได้ และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังต้องกักตัวต่อเนื่องอีก 14 วัน สำหรับผู้ที่กักตัวที่บ้านโดยตลอด ต้องกักตัวเป็นเวลาอย่างน้อย 28 วัน

เกณฑ์การพิจารณาผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่สามารถรออยู่บ้านได้

สำหรับเกณฑ์การพิจารณาผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ยังสามารถรอการกักตัวอยู่บ้านได้ มีดังนี้

1. เป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ไม่มีอาการใด ๆ

2. ผู้ติดเชื้อมีอายุไม่เกิน 40 ปี

3. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

4. มีผู้อยู่ร่วมที่พักอาศัยไม่เกิน 1 คน

5. ไม่มีภาวะอ้วน 

6. ไม่มีโรคร่วม ดังต่อไปนี้

  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • โรคไตเรื้อรัง (CKD)
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • หรือโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

7. ผู้ติดเชื้อยินยอมกักตัวในที่พักของตนเอง

การดูแลตัวเองขณะอยู่บ้านเมื่อติดโควิด ก่อนรอเข้าโรงพยาบาล

  • แยกจากผู้อื่น โดยกักตัวในห้องนอนส่วนตัว ผู้ป่วยควรอยู่ในห้องเท่านั้น และจัดให้มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้ หากจำเป็นต้องอยู่ในห้องเดียวกับผู้อื่น ให้เปิดหน้าต่างไว้ให้อากาศถ่ายเท
  • ผู้ป่วยสามารถออกมานอกห้องได้ โดยสื่อสารแจ้งให้คนในบ้านออกห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกมานอกห้องหรือต้องเข้าใกล้ผู้อื่น และเลี่ยงการพูดคุยกับคนในบ้าน โดยเฉพาะการพบปะคนสูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ
  • แยกของใช้ อุปกรณ์รับประทานอาหาร และแก้วน้ำ ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • แยกขยะ แยกการใช้ห้องน้ำ ถ้าแยกไม่ได้ให้ใช้เป็นคนสุดท้ายและล้างห้องน้ำหลังใช้ทุกครั้ง
  • ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือ สบู่และน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ขณะไอ จาม หรือหลังขับถ่าย และก่อนสัมผัสจุดเสี่ยงที่มีผู้อื่นในบ้านใช้ร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได มือจับตู้เย็น
  • หากมีไอ จาม ต้องสวมหน้ากาก แม้อยู่ในห้องส่วนตัว และหากไอ จาม ที่มีผู้อื่นอยู่ด้วยให้เว้นระยะอย่างน้อย 2 เมตร และหันหน้าไปยังทิศตรงข้ามกับตำแหน่งที่มีผู้อื่นอยู่
  • หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่น ต้องสวมหน้ากากและอยู่ห่างอย่างน้อย 2 เมตร หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงระหว่างผู้ป่วย กับญาติ(ผู้ที่ไม่ได้ป่วย) อาจสวมหน้ากาก 2 ชั้น โดยใช้ในสุดเป็นหน้ากากอนามัย ทับด้วยหน้ากากผ้าชั้นนอก เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ตามหลักโภชนาการ รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
  • ทำจิตใจให้สบาย ลดความวิตกกังวล

การทำความสะอาดที่พักระหว่างกักตัว

  • การทำความสะอาดพื้นผิว ให้ทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อปรกติ น้ำสบู่ธรรมดา ห้ามใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อฟุ้งกระจาย
  • ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ และพื้นที่ที่อาจปนเปื้อนเสมหะ น้ำมูก อุจจาระ ปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง ด้วยน้ำและน้ำยาฟอกผ้าขาวโซเดียมไฮโปคลอไรต์ 5% (เช่น ไฮเตอร์ คลอรอกซ์) เข้มข้น 5,000 ส่วนต่อล้านส่วน หรือ 0.5% (ผสมน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน)
  • ซักเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอก แยกจากผู้อื่น กรณีใช้เครื่องซักผ้า ให้ซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 60-90 องศาเซลเซียส ร่วมกับผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้า
  • ภาชนะอาหารควรแยกทำความสะอาด ใช้น้ำยาแบบปรกติ และล้างมือให้สะอาด
  • แนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดด้วยตนเอง กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำความสะอาดที่พักหรือห้องพักได้เอง คนทำความสะอาดต้องสวมหน้ากากอนามัย ใส่ถุงมือ และเข้าทำความสะอาดขณะที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในห้อง

อาการอย่างไรที่ต้องรีบเข้ารับการรักษา

อาการที่ต้องประเมิน อันดับแรก คือ อาการไข้กับเหนื่อย ถ้าไข้สูง หรือ มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเริ่มหายใจหอบเหนื่อย ต้องรีบติดต่อ โรงพยาบาลที่แจ้งผลการตรวจหาเชื้อโควิด หรือติดต่อสายด่วน 1668, 1669 หรือ 1330 เพื่อหาเตียง เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
 
วิธีการทดสอบ
  • นำปรอทมาวัดไข้ หากอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • ให้สังเกตว่าทำกิจวัตรประจำวันแล้วเหนื่อยไหม หรือทดสอบว่ามีอาการเหนื่อยไหม เช่น เดินรอบๆ ห้อง หรือเดินขึ้นบันได

หากมีอาการแย่ลง ต้องทำอย่างไร

สำหรับผู้ป่วยที่กักตัวอยู่ที่บ้าน “ผู้ป่วย หรือญาติต้องรีบติดต่อโรงพยาบาลที่ออกผลตรวจให้เพื่อแจ้งรายละเอียดอาการป่วยเพื่อให้โรงพยาบาลพิจารณาเรื่องการรักษาและจัดหาเตียงโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะดีกว่าการดูแลตัวเองที่บ้าน
  •  วิธีการทดสอบ เช่น กรณีที่มีไข้ ให้นำปรอทวัดไข้มาวัด 37.5 
  •  มีการเหนื่อยไหม อย่างเดินรอบ ๆ ห้อง หรือเดินขึ้นบันได มีอาการเหนื่อยกว่าปกติมั้ย ทำกิจวัตรประจำวันเหนื่อยไหม หากเดินแล้วเหนื่อย หากมีอาการเนื่อยมากกว่าปกติ และมีไข้ร่วมถือว่าอาการผิดปกติ ควรได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล

ทานยาลดไข้ได้ไหม

ทานได้ ทานยาพาราเซตตามอล

ผู้ป่วย หรือผู้ที่ตรวจพบเชื้อโควิด สามารถออกจากห้อง หรือออกจากบ้านบ้างได้ไหม

ถ้าเดินออกมาให้แจ้งคนในบ้านให้ห่างไกล ผู้ป่วยใส่หน้ากาก คนในบ้านก็ต้องใส่หน้ากาก และเลี่ยงให้ห่างไกลกัน อย่าใกล้ชิดกัน ไม่แนะนำให้ออกจากที่พักอาศัย

การรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ หรืออาการไม่เยอะ ระหว่างกักตัว

ขอให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ ให้ทานอาหารเป็นปกติ

กรณีครอบครัวมีเด็กเล็ก 1-5 ขวบมีผู้ปกครองติดโควิด และฝากญาติไม่ได้เพราะกลัวเด็กติดเชื้อ กรณีตรวจพบผู้ปกครองติดเชื้อแต่ลูกไม่ติด ควรทำอย่างไร

กรณีที่แม่ไม่ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม กักตัวอยู่บ้าน สามารถดูแลลูกได้ ให้ใส่หน้ากากให้ดูถึงความกระชับของหน้ากาก เช่น เอาหน้ากากผ้าทับหน้ากากอนามัย เพื่อสร้างความกระชับมากขึ้น ควรใส่หน้ากาก  2 ชั้น  ถ้าเด็กโตต้องแยกกันให้เกิดระยะห่าง เว้นระยะห่าง กรณีลูกต้องดื่มน้ำแม่ สามารถดื่มได้ไม่เป็นประเด็น แต่ประเด็นคือเรื่องความใกล้ชิด 

คำแนะนำการทำความสะอาดที่พัก หรือห้องพักของผู้ป่วย

แนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดด้วยตนเอง กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำความสะอาดที่พักหรือห้องพักได้เอง คนทำความสะอาดต้องสวมหน้ากากอนามัย ใส่ถุงมือ และเข้าทำความสะอาดขณะที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในห้อง

การทำความสะอาดพื้นบ้าน พื้นผิวทั่วไปในห้องผู้ติดเชื้อ

การทำความสะอาดพื้นผิว ให้ทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อปรกติ น้ำสบู่ธรรมดา ห้ามใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อฟุ้งกระจาย

การทำความสะอาดจานอาหารของผู้ติดเชื้อ

ภาชนะอาหารควรแยกทำความสะอาด ใช้น้ำยาแบบปรกติ และล้างมือให้สะอาด

การดูแลสุขภาพอนามัยระหว่างกักตัว

  • ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือ ด้วยสบู่และน้ำบ่อยๆ หากมือเปรอะเปื้อนให้ล้างด้วยสบู่และน้ำ และล้างมือหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ขณะไอ จาม หรือหลังจากขับถ่าย และ ก่อนสัมผัสจุดเสี่ยงที่มีผู้อื่นในบ้านใช้ร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได มือจับตู้เย็น เป็นต้น
  • หาก ไอ จาม ขณะสวมหน้ากากอยู่ ไม่ต้องถอดหน้ากากออก และไม่ต้องเอามือปิดปาก เนื่องจากมืออาจเปรอะเปื้อน แต่ถ้าไม่ได้สวมหน้ากากให้ใช้ต้นแขนด้านในปิดปากและจมูก
  • ใช้ห้องน้ำแยกจากผู้อื่น หากจำเป็นต้องใช้ร่วม ให้ใช้เป็นคนสุดท้าย และปิดฝาชักโครกก่อนกดน้ำ
  • ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ และพื้นที่ที่อาจปนเปื้อนเสมหะ น้ำมูก อุจจาระ ปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง ด้วยน้ำและน้ำยาฟอกผ้าขาวโซเดียมไฮโปคลอไรต์ 5% (เช่น ไฮเตอร์ คลอรอกซ์) เข้มข้น 5,000 ส่วนต่อล้านส่วน หรือ 0.5% (ผสมน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน)
  • ซักเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอก แยกจากผู้อื่น กรณีใช้เครื่องซักผ้า ให้ซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 60-90 องศาเซลเซียส ร่วมกับผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้า
 

คำแนะนำเมื่อต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโควิด

ต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดโควิด ต้องทำอย่างไร?

ผู้ดูแล/สมาชิกในครอบครัว/คู่สมรส ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโควิด ต้องแยกตัวเองออกจากผู้ป่วย ไม่อยู่ใกล้ชิด แยกห้องจากกัน หากแยกได้ และควรติดตามสังเกตอาการของตนเอง หากมีอาการเจ็บป่วยต้องรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากจัดว่าเป็นผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงสูง จึงต้องไปตรวจคัดกรองว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่

อุปกรณ์ที่ต้องมีในบ้าน

  • ปรอทวัดไข้แยกใช้ของผู้ดูแลใกล้ชิด และผู้ป่วย
  • ถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด โดยเป็นถังขยะแบบที่ใช้เท้าเหยียบเปิดฝาถัง
  • กระดาษทิชชู่ หน้ากากอนามัย

ข้อปฏิบัติเมื่อต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดโควิด

  • จัดหาอาหาร สิ่งของที่จำเป็น ยา ให้ผู้ป่วย
  • ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้าดูแลผู้ป่วย หากเป็นไปได้ควรดูแลโดยเว้นระยะห่างจากผู้ป่วยอย่างน้อย 1 เมตร และให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัยด้วย
  • ติดตามอาการผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีอาการแย่ลงเช่น หอบเหนื่อย ไข้สูง ไอมาก ให้ติดต่อโรงพยาบาลที่ตรวจพบเชื้อในทันที เพื่อเตรียมเจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วย หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรแจ้ง 1668 หรือ 1669 แจ้งชื่อ นามสกุลผู้ป่วย พร้อมทั้งแจ้งว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด
  • สมาชิกในครอบครัว ควรพักแยกห้องกับผู้ป่วย และหากเป็นไปได้ควรแยกห้องน้ำ
  • งดการเยี่ยมทุกกรณี และไม่ควรมีบุคคลอื่นเข้ามาที่พักอาศัยโดยไม่จำเป็น
  • หากมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยดูแลสัตว์เลี้ยง ป้อนอาหาร อุ้ม กอด จูบสัตว์เลี้ยง
  • หากต้องอยู่ร่วมห้องกับผู้ป่วย ให้มีการระบายอากาศภายในห้องที่พักอาศัย เช่น เปิดหน้าต่าง นอนห่างจากกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และหันหน้าหนีจากกัน
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาทีต่อครั้ง หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดทั่วทั้งมือจนกระทั่งแห้ง แต่หากมือเปื้อนสกปรกชัดเจน แนะนำให้ล้างมือด้วยสบู่
  • ล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูกของตนเองทุกครั้ง
  • ให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย หากมีบุคคลอื่นอยู่ร่วมในบริเวณเดียวกัน
  • ผู้ดูแลใส่หน้ากากอนามัย และถุงมือก่อนสัมผัสเลือด สารคัดหลั่งจากร่างกายผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ หรือเศษอาหารจากการอาเจียนของผู้ป่วย หลังทำความสะอาดทิ้งหน้ากากและถุงมือของตนเองทุกครั้ง และล้างมือ
  • ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ภาชนะใส่อาหาร ผ้าเช็ดตัว ชุดเครื่องนอน และควรทำความสะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง

การทำความสะอาด

  • ทำความสะอาดพื้นผิว อุปกรณ์ที่จับบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ ห้องน้ำ โทรศัพท์ แป้นพิมพ์ ทุกวันด้วยน้ำยาฟอกขาว 5%โซเดียมไฮโปรคลอไรด์ (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 99 ส่วน) หรือน้ำสบู่
  • ซักเสื้อผ้า เครื่องนอนที่เลอะเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากร่างกายด้วยสบู่หรือผงซักฟอกและน้ำ หรือซักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 60-90 องศาเซลเซียส
  • ใส่ถุงมือก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง หลังทำความสะอาดให้ถอดถุงมือทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิด และล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลทันที

กรณีผู้ติดเชื้ออยู่บ้านคนเดียว แล้วสั่งอาหารผ่าน Grap  จ่ายเงินอย่างไร จ่ายเงินสดได้ไหม

  • จ่ายเงินออนไลน์ การใช้ธนบัตร ชีวิตประจำวันเรามีเชื้อโรคอยู่ตามธนบัตรอยู่แล้ว มือเราต้องสะอาด ล้างบ่อยๆ ไม่สัมผัสใกล้ชิดเป็นหลักการสำคัญ)
  • แนะนำว่า ให้ผู้ส่งของส่งหน้าบ้านวางไว้ และวางเงินให้ โดยต้องล้างมือให้สะอาด เว้นการสัมผัสใกล้ชิด

ข้อสำคัญของผู้ป่วยที่ติดโควิดและต้องอยู่บ้านที่มีคนอื่นอยู่ด้วย

ผู้ป่วยต้องใส่หน้ากาก คนอยู่บ้านต้องอยู่ห่างและสวมหน้ากากเช่นกัน และต้องล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ หรือใช้แอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
 

คำแนะนำทั่วๆไป

การปฏิบัติตัวเมื่อกลับถึงบ้าน

  • ถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน
  • ถอดหน้ากากอนามัยทิ้งในถังขยะแยกก่อนเข้าบ้าน
  • เมื่อเข้าบ้านให้ล้างมือก่อนเป็นสุขนิสัยที่ควรทำเป็นประจำ
  • อาบน้ำ สระผม และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ไม่นั่งหรือหยิบจับของในบ้านก่อนอาบน้ำ
  • แยกซักเสื้อผ้าที่ใส่ออกนอกบ้านและหน้ากากผ้า
 

การใส่หน้ากากอนามัยให้ได้ผลดี

การใส่หน้ากากให้ได้ผลในการป้องกัน หน้ากากต้องกระชับกับใบหน้า การใส่หน้ากากสองชั้น พบว่าลดการติดเชื้อได้ดีกว่าหน้ากากชั้นเดียว โดยให้ใส่หน้ากากผ้าอยู่ด้านนอกทับหน้ากากอนามัย เนื่องจากทำให้หน้ากากกระชับมากขึ้น และคอยเปลี่ยนหน้ากากผ้าและซักบ่อยๆ
 
Double mask wearing เพิ่มประสิทธิภาพป้องกันโควิดได้มากกว่าหน้ากากชั้นเดียว
  • ใส่หน้ากากที่ได้มาตรฐานและมีแกนตรงสันจมูก ตรวจว่าไม่มีช่องว่างตรงจมูก แก้ม คาง
  • ใส่หน้ากาก 2 ชั้น หรือ Double-mask technique แต่เน้นว่าด้านนอกเป็นหน้ากากผ้า ที่ทำให้มีความกระชับขึ้น และหน้ากากผ้าด้านนอกคลุมหน้ากากอนามัยด้านใน ที่เป็นหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง
  • ไม่แนะนำให้ใช้ หน้ากากอนามัยแบบ disposable 2 ชั้น เพราะหน้ากากอนามัยแบบ disposable ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความกระชับ
  • ไม่แนะนำให้ใส่หน้ากากผ้าทับหน้ากาก N95

โควิดติดได้จากทางไหน

โควิด-19 เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ หลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการ หรืออาจมีอาการเล็กน้อยคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา หรืออาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงเป็นปอดอักเสบและเสียชีวิตได้
โควิด-19 เข้าสู่คนผ่านทางการหายใจเอาละอองฝอยที่ผู้ติดเชื้อ ไอ จาม หรือ สัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลายของคน จึงมี 3 รูที่ต้องระวัง
  • รูน้ำตา : ไม่ขยี้ตา ดวงตามีช่องท่อระบายน้ำตาที่เชื้อโรคสามารถผ่านเข้าไปได้
  • รูจมูก : ไม่แคะจมูก เชื้อโรคสามารถเข้าทางโพรงจมูกสู่ทางเดินหายใจได้
  • รูปาก : ไม่จับปาก ปากเป็นช่องร่วมที่เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจต่อไป

อาการเข้าข่าย COVID เป็นอย่างไร

อาการทั่วไปของโรคโควิด 19 พี่พบมากที่สุดคือ ไข้ ไอ ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น และอ่อนเพลีย อาการที่พบน้อยกว่าแต่อาจมีผลต่อผู้ป่วยบางรายคือ ปวดเมื่อย ปวดหัว คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ท้องเสีย ตาแดง หรือผื่นตามผิวหนัง หรือสีผิวเปลี่ยนตามนิ้วมือนิ้วเท้า อาการเหล่านี้มักจะไม่รุนแรงนักและค่อยๆเริ่มมีอาการทีละน้อย บางรายติดเชื้อแต่มีอาการไม่รุนแรง
 
ผู้ป่วยส่วนมาก (80%) หายป่วยได้โดยไม่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีอาการหนักและหายใจลำบาก ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือมะเร็งมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยรุนแรงกว่า อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถติดโรคโควิด 19 ได้และอาจป่วยรุนแรง คนทุกเพศทุกวัยที่มีอาการไข้ และ/หรือไอร่วมกับอาการหายใจลำบาก/ติดขัด เจ็บหน้าอก เสียงหาย หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที หากเป็นไปได้ แนะนำให้โทรไปล่วงหน้า เพื่อสถานพยาบาลจะได้ให้คำแนะนำ
(ที่มา : https://www.who.int/thailand/emergencies/novel-coronavirus-2019/q-a-on-covid-19)”

ควันบุหรี่ จากคนติดเชื้อ COVID-19 เราสูดเข้าไป จะติดเชื้อหรือเปล่า

ในควันและละอองไอของบุหรี่่ประกอบด้วยสารคัดหลั่งน้ำลาย เสมหะ และแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ไกลจากการพ่นควันหรือไอ ดังนั้น ถ้าผู้สูบบุหรี่เป็นผู้ติดเชื้อ COVID ก็จะแพร่กระจายเชื้อไปยังคนอื่นได้ง่ายอีกด้วย หากท่านคือคนกลุ่มนั้นแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด

ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในระยะฟักตัว สามารถแพร่เชื้อได้

จากข้อมูลการศึกษาในปัจจุบันนี้ที่มีมาแล้วเป็นจำนวนมาก โรค COVID-19 มีระยะฟักตัวของโรค ตั้งแต่ 1 วัน จนถึง 14 วัน โดยมาตรฐานทั่วไปจะให้ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเก็บตัวอยู่ที่บ้านเป็นระยะเวลา 14 วัน ในขณะนี้เริ่มมีข้อมูลออกมาว่า ผู้ป่วยในระยะฟักตัวระยะท้ายๆ อาจจะติดโรคไปยังผู้อื่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ โอกาสที่จะไอ จาม หรือมีฝอยละอองออกมา โอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่าผู้ที่มีอาการ ดังนั้น คนที่ไม่มีไอ หรือจาม โอกาสที่จะมีการแพร่กระจายของโรคไปสู่ผู้อื่นก็น้อย อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มเสี่ยงที่มาจากแหล่งระบาดของโรค ก็อยากจะให้เก็บตัวไว้อยู่ที่บ้าน ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในการใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ในกรณีที่เป็นโรคและควรกำหนดระยะห่างของบุคคล ระยะห่างกับคนในบ้าน ไม่ไปคลุกคลีหรือไม่ไปสัมผัส หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน

ฟ้าทลายโจร ช่วยป้องกันโควิดไหม

ข้อมูลเป็นงานวิจัยที่จะพิสูจน์ผลของฟ้าทลายโจรอยู่ระหว่างการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถกำจัดเชื้อหรือรักษาโรคได้ อย่างไรก็ตาม ฟ้าทลายโจรถูกขึ้นทะเบียนว่ารักษาหวัด ถ้าจะกินก็ไม่เสียหายอะไร แต่อย่าคาดหวังผลมากหนัก เนื่องจากผลยังอยู่ในงานวิจัย

การฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในตัวบ้าน บริเวณบ้าน หรือสำนักงาน มีความจำเป็นมากแค่ไหน

ยังไม่จำเป็นมากค่ะ 

การประเมินความเสี่ยงและการปฏิบัติ กรณีมีผู้ให้บริการหรือผู้รับบริการในสถานพยาบาลสัตว์ติดเชื้อ COVID-19

1. ผู้สัมผัสใกล้ชิด พูดคุยกับผู้ป่วยในระยะน้อยกว่า 2 เมตร นานเกิน 5 นาที หรืออยู่ในที่ปิดร่วมกับผู้ป่วย นานเกิน 15 นาที (วงที่ 1 วงผู้สัมผัสใน)

  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส สวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ (ระดับความเสี่ยงต่ำ)
แนวทางการปฏิบัติ ปฏิบัติงานได้ สังเกตอาการ 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ สวมหน้ากากอนามัย แต่ผู้สัมผัสไม่สวมหน้ากากอนามัย (ระดับความเสี่ยงปานกลาง) แนวทางการปฏิบัติ กักตัว 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ ไม่สวมหน้ากากอนามัย แต่ผู้สัมผัส สวมหน้ากากอนามัย (ระดับความเสี่ยงปานกลาง) แนวทางการปฏิบัติ กักตัว 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส ไม่สวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ (ระดับความเสี่ยงสูง) แนวทางการปฏิบัติ เข้ารับการตรวจโรคด้วยวิธีการ Swab และ กักตัว 14 วัน
2. ผู้สัมผัสใกล้ชิด สัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย COVID-19 โดยไม่ได้ป้องกัน (วงที่ 1 วงผู้สัมผัสใน)
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส สัมผัสสารคัดหลั่งจากการไอ จาม มีน้ำมูก น้ำลาย (ระดับความเสี่ยงสูง) แนวทางการปฏิบัติ เข้ารับการตรวจโรคด้วยวิธีการ Swab และ กักตัว 14 วัน
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส กินข้าวหรือใช้สิ่งของร่วมกัน (ระดับความเสี่ยงสูง) แนวทางการปฏิบัติ เข้ารับการตรวจโรคด้วยวิธีการ Swab และ กักตัว 14 วัน
3. ผู้สัมผัสใกล้ชิด เจ้าของสัตว์ทุกรายที่มารับบริการต่อจากผู้ป่วยในห้องเดียวกัน (วงที่ 1 วงผู้สัมผัสใน)
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส ทั้งคู่ได้ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวสัมผัสหลังจากผู้ป่วยเข้ารับบริการ (ระดับความเสี่ยงต่ำ) แนวทางการปฏิบัติ ปฏิบัติงานได้ สังเกตอาการ 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส ทั้งคู่ไม่ได้ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวสัมผัสหลังจากผู้ป่วยเข้ารับบริการ (ระดับความเสี่ยงสูง) แนวทางการปฏิบัติ เข้ารับการตรวจโรคด้วยวิธีการ Swab และ กักตัว 14 วัน
4. ผู้สัมผัสใกล้ชิด เป็นผู้ที่สัมผัสกับบุคคลที่มีความเสี่ยงปานกลาง – สูง ตามข้อที่ 1-3 (วงที่ 2 วงใกล้ชิดกับผู้สัมผัส )
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส สวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ (ระดับความเสี่ยงต่ำ)
  • แนวทางการปฏิบัติ ปฏิบัติงานได้ สังเกตอาการ 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ สวมหน้ากากอนามัย แต่ผู้สัมผัสไม่สวมหน้ากากอนามัย (ระดับความเสี่ยงต่ำ)
  • แนวทางการปฏิบัติ ปฏิบัติงานได้ สังเกตอาการ 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ ไม่สวมหน้ากากอนามัย แต่ผู้สัมผัส สวมหน้ากากอนามัย (ระดับความเสี่ยงปานกลาง) แนวทางการปฏิบัติ กักตัว 14 วัน หากมีอาการแจ้งหัวหน้างาน เพื่อรับการตรวจ
  • กรณีผู้ป่วย/ผู้สงสัยติดเชื้อ และผู้สัมผัส ไม่สวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ (ระดับความเสี่ยงสูง) แนวทางการปฏิบัติ เข้ารับการตรวจโรคด้วยวิธีการ Swab และ กักตัว 14 วัน หมายเหตุ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าสัตว์เลี้ยง สามารถแพร่โรค COVID-19 สู่มนุษย์ได้

 

คำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด

วัคซีนป้องกันโรคโควิดมีความปลอดภัยแค่ไหน

วัคซีนทุกชนิดผ่านการทดลองมาแล้ว แม้มีการรายงานอาการข้างเคียง เช่น การเกิดก้อนลิ่มเลือด แต่อาการข้างเคียงต่างๆ พบน้อยมาก โดยตัวเลขคร่าวๆ การฉีดวัคซีน 250,000 คน พบอาการข้างเคียงที่รุนแรงประมาณ 1 คน ในขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด 250,000 คน จะมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน ดังนั้น การฉีดวัคซีนมีประโยชน์มาก สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้สูงมาก

กลุ่มคนที่พบอาการแพ้บ่อย ๆ ฉีดได้ไหม

ฉีดได้ แต่แนะนำควรปรึกษาแพทย์ก่อน

รายชื่อวัคซีนป้องกันโควิดในประเทศไทยมียี่ห้อไหนบ้าง

ขณะนี้มี 2 ตัวคือ Sinovac ซิโนแวก และ AstraZeneca แอสตร้าเซนเนก้า และอยู่ระหว่างการประสานเพื่อนำเข้ามาอีก คือ Sputnik สปุตนิก  และ Pfizer

เลือกฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนดี

ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเลือกยี่ห้อ เพราะในทางการแพทย์ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากเป็นการศึกษาในประชากรคนละกลุ่ม แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ การเกิดอาการข้างเคียงรุนแรงของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ พบในกลุ่มไหนบ้าง และมีอาการอย่างไร เพื่อนำไปพิจารณาวัคซีนที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้วัคซีนชนิดนั้นๆ ในคนกลุ่มที่พบมีอาการข้างเคียงมาก และไปเลือกใช้วัคซีนชนิดอื่นแทน

ผู้มีโรคประจำตัวควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิดหรือไม่ ?

คนที่มีโรคประจำตัวยิ่งเป็นผู้ที่ควรได้รับวัคซีน เนื่องจากเป็นผู้ที่เมื่อได้รับเชื้อแล้วมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต ซึ่งขณะนี้วัคซีนทุกตัวสามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงได้เกือบ 100% การจะพิจารณาว่าใครไม่ควรได้วัคซีน ต้องอยู่ในการพิจารณาของแพทย์เป็นราย ๆ ไป แต่ส่วนใหญ่สามารถให้ได้

ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว กังวลเรื่องการฉีดวัคซีน ควรให้คำแนะนำอย่างไร

  • ขอให้แพทย์ประจำตัวประเมินการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปก่อน ยิ่งมีโรคประจำตัวยิ่งต้องฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะว่ามีโอกาสป่วยรุนแรงกว่าคนปกติ 
  • ถ้ามีแพทย์ดูแลประจำอยู่แล้ว ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน และขอคำแนะนำถ้าจะต้องไปฉีดวัคซีน
  • หากเป็นโรคประจำตัวอย่างเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยทั่วไปสามารถฉีดวัคซีนได้ โดยต้องไม่หอบ หรือเป็นโรคปอดอักเสบ เมื่อฉีดต้องอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้  ตอนที่ฉีดวัคซีนทางแพทย์จะทำกรองข้อมูลก่อนฉีดวัคซีนอีกครั้ง

ควรฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด

เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงหรือผลข้างเคียงของการติดเชื้อโควิด กับการรับวัคซีน พบว่าการได้รับวัคซีนมีประโยชน์มากกว่าโทษ เมื่อเทียบกับการไม่รับวัคซีนในภาพรวมของสังคมทั้งประเทศ

วัคซีนป้องกันโควิดได้ดีแค่ไหน

เนื่องจากไม่มีวัคซีนชนิดไหนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100 % ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อโรคชนิดใด ตัวอย่างเช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ที่แม้จะฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ก็ยังสามารถเป็นได้ แต่วัคซีนจะช่วยให้เมื่อเกิดการติดเชื้อ จะมีอาการไม่รุนแรง ดังนั้นเมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ก็ยังคงต้องสวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่นเดิม

ผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วต้องรับวัคซีนไหม

ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 แล้ว ก็ยังควรได้รับวัคซีนป้องกันอยู่ โดยเว้นระยะเวลาหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณ 30-90 วัน แล้วจึงไปรับวัคซีน

เมื่อได้วัคซีนแล้ว ใช้เวลานานเท่าไร จึงจะป้องกันเชื้อได้ ?

ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อฉีดวัคซีนครบตามกำหนด ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2 อาทิตย์ จึงจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันสูงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อได้ หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ สูงขึ้น และเมื่อนานไปจะลดลง

สายด่วนโควิด

คิดออกกับจุฬาภรณ์